เกี่ยวกับสถาบันกายจิต
เกี่ยวกับสถาบันกายจิต
จัดตั้งขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนามนุษย์ทั้งทางด้านกายภาพ สมรรถนะ ความคิด และจิตวิญญาณ เราผสมผสานความรู้ด้านนวัตกรรม สิ่งใหม่ๆที่ทันสมัยและมีความจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ในปัจจุบันและอนาคต เราสามารถใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และสื่อนวัตกรรม เพื่อผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
การเรียนรู้เพื่อสู่เป้าหมาย
มนุษย์ต้องการความรู้เพื่อพัฒนากาย ใจ และ ความสามารถในการดำรงอยู่ การไม่มีความรู้ให้ทันกับยุคสมัย ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่แน่นอน มีความซับซ้อน และมีความคลุมเครือ กายจิต เชื่อว่า คนเรานั้นสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะโลกและเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง เรามีวิวัฒนาการ มีนวัตกรรมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางทีโลกหมุนไปเร็วมากจนมนุษย์อาจจะตามไม่ทัน ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ในการหาความรู้มาเติมเต็มช่องว่างนั้นให้กับทุกคน ด้วยความหวังที่จะนำพาให้ทุกคนอยู่รอดและก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
เกี่ยวกับสถาบันกายจิต
การคิดเชิงออกแบบ Human centric
ต้องยอมรับว่ายุคสมัยนี้เกือบทุกคนสามารถค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการตัดสินใจของตนเองในเกือบทุกๆด้านเพื่อการดำรงอยู่ นักออกแบบกายจิตเข้าใจความต้องการของผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับการวางหลักสูตรเป็นอย่างดี บนพื้นฐานของปรัชญาการออกแบบชีวิต ฉีกกฏของการเรียนในแบบเดิมๆ ทั้งนี้ผู้เรียนสามารถให้ข้อเสนอแนะ รวมถึงสามารถร่วมออกแบบหลักสูตรเพื่อตอบสนองโจทย์ที่ท่านต้องการอย่างแท้จริง
ความรู้จากสถาบันกายจิต
ผู้เรียนเชื่อมั่นได้ว่า บุคคลากรที่ให้ความรู้จากทางสถาบันกายจิตนั้น เป็นบุคคลากรที่ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์สูง เช่น
ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ที่เป็นวิทยากรใน “Visual Thinking The Executive Workshop” ประวัติของท่านไม่ธรรมดาเลย เคยเป็นผู้ที่สอบได้ที่ 1 ของประเทศ แล้วแถมยังได้รับทุนคิง , ทุนร็อกกี้เฟลเลอร์ อีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ท่านยังสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกอย่าง MIT, STANFORD และ CHICAGO ด้วย
ขอยกประวัติของท่านบางส่วนมาจาก https://mgronline.com/live/detail/9490000041319
ดร.วุฒิพงษ์เกิดในครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายในละแวกบางลำพู ด้วยความที่มีพี่น้องมากถึง 14 คน และเขาเป็นคนที่ 12 อีกทั้งการที่ครอบครัวมิได้เลี้ยงดูอย่างเข้มงวดนัก แต่สอนให้ลูกๆ แต่ละคนรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง พี่ๆ คอยช่วยดูแลน้อง ในฐานะน้องเล็กเขาจึงไม่รู้สึกว่าต้องพยายามเรื่องการเรียนเท่าใดนัก แค่พอให้ผ่านไปไม่สอบตกก็พอแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงมีของเล่นตามธรรมชาติ และเลี้ยงนกพิราบแข่งเป็นเพื่อน
จุดหักเหแรกในชีวิตของดร.วุฒิพงษ์ คือเมื่อหลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนคอนเซ็ปชัญคอนแวนต์ เขาพลาดหวังจากการสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เด็กชายวัย 13 ปีในวันนั้นรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาถล่มก็ไม่ปาน เมื่อเขาต้องแบกความผิดหวังนั้นกลับไปบอกครอบครัว ซึ่งพี่สาวพี่ชายเขาล้วนสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังได้ทุกคน
ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านเย็นนั้น พ่อแม่กลับไม่ได้ว่ากล่าวอะไรที่ลูกชายคนเล็กสอบเข้าไม่ได้ หากสำหรับเด็กชายการไม่มีคำตำหนิจากผู้ใหญ่ยิ่งแย่กว่าเสียอีก เขาจึงสัญญากับมารดาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำตัวให้ท่านต้องเป็นห่วงเรื่องการเรียนอีกต่อไปแล้ว แม้จะเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่จากโรงเรียนใกล้บ้านอย่าง ร.ร.วัดสังเวช ที่บางคนอาจมองเป็นแค่โรงเรียนวัดธรรมดาก็ตาม
“พอเปิดเรียนใหม่ๆ เป็นวันแม่ ผมก็ไปซื้อเค้กมาก้อนหนึ่ง 20 บาท ซึ่งถือว่าแพงมากในสมัยนั้น บอกแม่ว่าวันนี้วันแม่ แม่ก็ถามว่าไปเอาเงินมาจากไหน เพราะผมได้แค่ 3-5 บาทเท่านั้น พอผมบอกว่าเอาเงินขายนกพิราบมาซื้อ แม่ผมก็น้ำตาซึมเลย เพราะเขารู้ว่าผมรักนกพิราบขนาดไหน ก็บอกกับแม่ว่าต่อไปนี้จะไม่เกเรอีกแล้ว จะเรียนหนังสือทุกวัน” หลังจากนั้น 3 ปีในร.ร.วัดสังเวช เขาก็ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่วันเดียว
เมื่อประตูบานหนึ่งปิดใส่หน้าคุณ ก็มีประตูแห่งโอกาสบานอื่นๆ รออยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นและพร้อมจะก้าวต่อไปหรือไม่ และดร.วุฒิพงษ์ก็ไม่ปล่อยให้ความผิดหวังนั้นทำให้เขาท้อถอย แต่กลับแปรเป็นพลังที่ทำให้เขามุมานะว่าจะต้องทำให้มารดาภูมิใจให้ได้ เขาจึงมุมานะเรียนอย่างหนัก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็สามารถนำผลการเรียนที่ 1 ของชั้นกลับไปอวดแม่ได้อย่างภาคภูมิตามที่สัญญาไว้
หลังจากนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรฉุดเด็กหนุ่มหัวดี อนาคตไกลผู้นี้ได้เลย เมื่อเขาสามารถสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เป็นลำดับที่ 1 สร้างความประหลาดใจให้แก่ครูอาจารย์ และเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่นที่ส่วนใหญ่ล้วนจบมัธยมต้นมาจากโรงเรียนมีชื่อเสียงแทบทั้งนั้น
“คนจะมองว่าโรงเรียนวัดสังเวชเป็นโรงเรียนของเด็กที่สอบเข้าที่ไหนไม่ได้มารวมกัน แต่แม้จะเป็นโรงเรียนเล็กๆ แต่ก็มีการดูแลที่ดี ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ ที่ผมว่ามันมีผลต่อชีวิตเด็กมาก ครูสามารถปั้นดินให้เป็นดาวได้เลย และในขณะเดียวกันก็สามารถเอาเพชรที่เจียระไนแล้วไปโยนทิ้งใส่โคลนได้เหมือนกัน ซึ่งถึงวันนี้ผมก็ยังฝังใจว่าอาชีพครูบาอาจารย์เป็นอาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์”
หากกราฟที่ผ่านมาเริ่มเป็นแนวดิ่งชี้ขึ้น ชีวิตหลังจากนี้ของเขาก็คงพุ่งฉิวเกือบเป็นก้าวกระโดด เพราะอีก 2 ปีต่อมา เขาก็สอบได้เป็นที่ 1 ของประเทศไทย ในสายวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นก็สอบเข้าในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ และเพียง 2 เดือนต่อมา เขาก็สามารถสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ง่ายๆ นักเรียนที่ได้รับตำแหน่งนี้จึงถูกจับตามองว่า จะต้องเจริญรอยตามนักเรียนหัวกะทิรุ่นพี่ต่อไป เป็นบุคลากรระดับมันสมองของประเทศชาติในอนาคต และในตอนนั้นผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งก่อนหน้าปีของเขาก็คือ ธีรยุทธ บุญมี
จากว่าที่นายแพทย์ จึงกลายเป็นวิศวกรหนุ่มแทน และต่อมาเส้นทางการทำงานของดร.วุฒิพงษ์ ก็แตกแขนงออกไปหลายสาย ตามโอกาสและความรู้ความสามารถที่เขามีอยู่
* ความรู้นอกตำรา
นอกจากจะได้รับทุนเล่าเรียนหลวงในระดับปริญญาตรีแล้ว ดร.วุฒิพงษ์ยังได้รับทุนร็อคกี้เฟลเลอร์โดยคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่เขานับถืออย่าง ศ.สังเวียน อินทรวิชัย อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เขาสอบชิงทุนไปศึกษาต่อทางด้านบริหาร ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สองในเส้นกราฟชีวิตของดร.วุฒิพงษ์
ดร.วุฒิพงษ์เป็นคนไทยจำนวนไม่กี่คนที่ศึกษาจบปริญญาทั้ง 3 ระดับ ใน 3 สาขา จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้ง 3 ภูมิภาคของอเมริกาด้วยกัน คือ ปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธาจาก Massachusetts Institute of Technology หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า MIT ปริญญาโทสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม จาก Stanford University และ ปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์และการบริหารรัฐกิจ จาก University of Chicago สถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘teacher of teachers’
“รู้สึกผมจะเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับ Ph.D. จากมหาวิทยาลัยชิคาโกในสาขาเศรษฐศาสตร์กับบริหารธุรกิจ ชิคาโกค่อนข้างจะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนปราบเซียน เรียนไม่จบตกกันเป็นครึ่งเป็นค่อน แต่ที่นี่ดีอย่างที่เป็นมหาวิทยาลัยที่วงการวิชาการในอเมริกาให้การยอมรับนับถือ คนที่จะไปเป็น professor ถ้าจบมาจากมหาวิทยาลัยชิคาโกส่วนใหญ่เขาก็จะรับ เพราะที่นี่เน้นการผลิตครูบาอาจารย์และทำวิจัยเป็นส่วนใหญ่”
หลังจากเรียนสำเร็จ ดร.วุฒิพงษ์ก็กลับมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์และผอ.ศูนย์ศึกษารัฐวิสาหกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยู่พักหนึ่ง แต่เงินเดือนราชการนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าพอเพียงต่อการเลี้ยงชีพ เขาจึงจำต้องออกมาทำงานอื่นๆ ทั้งที่ยังรักการสอนหนังสือ ก่อนที่กราฟชีวิตจะหักเหจากห้องเรียนและความรู้ในตำรา สู่สนามแข่งขันที่มีชื่อว่า ‘ธุรกิจ’
จากตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายแผนงาน ธนาคารกรุงเทพ นานกว่า 4 ปี ดร.วุฒิพงษ์ได้ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการผู้จัดการคนแรกของบริษัทไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ซึ่งในเวลานั้นเป็นสถาบันใหม่ที่ใครก็ไม่กล้าเสี่ยงมาบริหาร หากแต่ดร.วุฒิพงษ์กลับมองเห็นโอกาสและอนาคตของสถาบันจัดอันดับเครดิตแห่งแรกของประเทศไทยแห่งนี้
“ตอนเริ่มทริสไม่มีใครอยากได้เลยนะตำแหน่งนี้ เพราะมันเสี่ยง มีแค่กระดาษแสดงเจตนารมณ์แผ่นเดียวของแบงก์ชาติหรือกระทรวงการคลังที่อยากจะมีสถาบันจัดอันดับเครดิต แต่ว่ามันลอยๆ ไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นไปขอใครมาเป็นกรรมการผู้จัดการ ผู้หลักผู้ใหญ่ปฏิเสธหมด แต่สำหรับผมผมมองว่ามันท้าทาย และทุกปีที่ผมอยู่ที่ทริสผมก็มีสินค้าบริการออกมาใหม่ๆ มานำเสนอ แต่พอมาปีสุดท้ายรู้สึกว่าจะโดนตัดมือตัดไม้ เพราะก.ล.ต. เขาไม่ชอบ ผมอยากจะใช้เรื่องเรตติ้งของเรามาประยุกต์ใช้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องการเงินหรือธุรกิจ แต่อยากจะดึงมาทางด้านสังคม อย่างเรตติ้งโรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัย แล้วเราก็คิดว่าวันหนึ่งเราน่าจะทำเรตติ้งพรรคการเมืองได้ ตอนนั้นก.ล.ต.เลยไม่ชอบ คงเริ่มสงสัยว่ากรรมการผู้จัดการของทริสคนนี้จะเพี้ยนไปเสียแล้ว”
เมื่อผนวกกับความอึดอัดในสภาพน้ำท่วมปาก ไม่สามารถออกความเห็นด้านการเมืองได้ ที่สุด ดร.วุฒิพงษ์จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารของทริส
“ตอนที่เป็นกรรมการผู้จัดการของทริส ผมก็พยายามจะทำหน้าที่โดยไม่พูดถึงการเมืองเลย คนก็จะถามเรื่อยว่า มีความเห็นยังไงเกี่ยวกับรัฐบาล คือพยายามดึงผมเข้าไป ผมก็บอกผมไม่สันทัดเรื่องการเมือง ผมก็ปฏิเสธตลอดอยู่เกือบ 5 ปี จนกระทั่งครึ่งปีสุดท้ายมันเหมือนตบะแตก มันสะสม แล้วการเป็นกรรมการผู้จัดการทริสมันได้เห็นข้อมูลมากมายที่คนอื่นเขาไม่ได้เห็น แล้ววันหนึ่งมันเหมือนกับตบะแตก ท้ายที่สุดผมเริ่มพูด และรู้ว่าเราไม่เหมาะจะเป็นกรรมการผู้จัดการของทริสอีกต่อไปแล้ว มีความรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่คนธรรมดาแบบเรา ซึ่งไม่มีอำนาจรัฐ แต่จะมาตรวจสอบเรื่องการเมืองที่มันเสียๆ หายๆ”
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสถาบันสหสวรรษ สถาบันวิชาการภาคประชาชนที่ทำหน้าที่ศึกษาวิจัย และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนเป็นปากเป็นเสียงให้แก่ประชาชนในเรื่องนโยบายสาธารณะ
“การเมืองภาคประชาชนมันหืดขึ้นคอ เพราะว่าอำนาจต่อรองก็ไม่มี เราไปเจอกับนักการเมืองที่เขาใหญ่กว่าเราเยอะ อันนี้มันเหนื่อย ถ้าเรายังเป็นกรรมการผู้จัดการของทริสก็ยังมีอำนาจต่อรอง แต่พอเราไม่ใช่มันไม่มี แต่มันก็สอนอะไรเราหลายอย่าง ว่าอะไรคือความถูกต้อง ความชอบธรรม”
หนึ่งในผลงานที่สะท้อนความสนใจทางการเมืองภาคประชาชนของดร.วุฒิพงษ์ก็คือ โครงการรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อคัดค้านนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในรูปแบบเอกสารที่ถูกย่อยออกมาให้เข้าใจง่าย ถึงการทุจริตเชิงนโยบายดังกล่าวขึ้น อาทิ หนังสือคู่มือทรราช, ไล่ทักษิณ…แล้ว ‘ล้างบ้าน’ หรือ ไล่ทรราช เป็นของขวัญแผ่นดิน เป็นต้น