Visual Thinking ช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าของผู้บริหารได้อย่างไร?
Visual Thinking ช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าของผู้บริหารได้อย่างไร?
ท่านดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ท่านเป็นอดีตนักเรียนที่สอบได้ที่ 1 ของประเทศ ท่านเป็นนักเรียนทุนคิง ทุนร็อกกี้เฟลเลอร์ และยังได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย ได้แก่ MIT, Stanford และ University of Chicago. ท่านทราบหรือไม่ว่า ดร.วุฒิพงษ์ ท่านเป็น Slow Learner แต่ท่านมีเทคนิควิธีในการที่จะเรียนให้ประสบความสำเร็จโดยการใช้ “การคิดด้วยภาพ” ครับ
จากการที่มนุษย์เนี่ยเรามีอิทธิพลและ ครอบครองโลกได้มนุษย์มีความสามารถอย่างหนึ่งซึ่งสัตว์ประเภทอื่นไม่มี สัตว์สปีซี่อื่นไม่มี นั่นคือความสามารถในการคิดและก็ได้ทอด ความคิดสื่อสารความคิดตัวเองให้กับญาติพี่น้องครอบครัวไปจนถึงสังคมและท้ายสุดก็เป็นประเทศชาติ คล้ายๆอยากจะทำอะไรสักอย่างแทนที่ต่างคนต่างทำก็สื่อความถึงสมาชิกคนอื่นแล้วก็กลายเป็นความเชื่ออันนึงเหมือนเป็น Story
เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้เนี่ยมันเกิดขึ้นได้เพราะภาษาที่เราคิดนะครับแล้วก็ สื่อสารความคิดนำเสนอความคิดมันเป็นเรื่องของภาษา พอพูดถึงภาษาท่านก็นึกถึงคำ ผมก็เอาคำต่างๆมาผูกต่อกันเป็นประโยค หลายๆประโยคก็เป็นย่อหน้า เป็นความคิดความอ่าน เป็น Story เป็นเรื่องราว แต่ความจริงเราลืมไปเลยว่าการคิดและการสื่อสารเนี่ย ความจริงมันมีอีกวิธีนึง แต่ภาษาที่ใช้ไม่ใช่ภาษาคำ แต่ เราเรียกว่าภาษาภาพ
วิธีคิดอันนี้เราก็เลยเรียกเรียกว่าคิดด้วยภาพหรือเป็นภาษาอังกฤษเรียก ว่า Visual Thinking อันเนี้ยมันค่อนข้างจะ สูญหายไปเพราะว่าเมื่อมนุษย์มีเก่ง เรื่องภาษาคำมากขึ้นเราก็มักจะลืมภาษาภาพ ภาษาภาพความจริงมาก่อนภาษาคำนะครับ เพราะว่าถ้าเรามองย้อนไปเนี่ย หลายหมื่นปีเราเข้าไปในถ้ำในยุโรปก็จะเห็น รูปคนโบราณมนุษย์ดึกดำบรรพ์เขียนเรื่อง การล่ากวางล่าสัตว์ด้วยฉมวกด้วยหอกเขียนบนผนัง
แสดงว่าภาษาภาพจริงๆมีมาก่อนภาษาคำด้วยซ้ำแต่ก็ภาษาคำพัฒนามากๆเราก็ลืมภาษาภาพ พอเราไม่ได้ใช้เนี่ยมันก็น่าเสียดาย เพราะว่าถึงมันอาจจะไม่สลับซับซ้อนหรือละเอียด ละเมียด เท่าภาษาคำ แต่ภาษาภาพนี่ มันก็มีจุดเด่น จุดแข็งของมันหลายเรื่องด้วยกัน เช่น ความง่าย สังเกตุมั้ยครับบางทีคุยเรื่องราวเยอะแยะกว่าเข้าใจกันได้ พอเขียนเป็นรูปภาพ diagrams มีสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม ลูกศรชี้ไปมา แป๊ปเดียวดูเข้าใจเหตุการณ์ซี่งสลับซับซ้อน
ถ้าเราได้สิ่งนี้คืนกลับมาเนี่ย ความสามารถเราจะมหาศาลเลย มันจะเปลี่ยนทั้งวิธีคิดของเรา มันเปลี่ยนวิธีทำงานนะครับ เราเจอปัญหาเราก็จะได้มองทั้งด้วยภาษาภาพและภาษาคำ แล้วก็ท้ายสุด มันจะทำให้เรามองปัญหาเดิมหรือโจทย์เดิมอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นไอ้ solution หรือคำตอบก็อาจจะเปลี่ยนไป วิธีคิดก็จะเปลี่ยนไป อันนี้เป็นที่มาของความที่สร้างสรรค์หรือ Creativity หรือ innovation ทีเดียวครับ
Visual Thinking by กายจิต จะจัดขึ้นที่โรงแรมโมเวนพิคสุขุมวิท 15 ในวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม สมัครก่อน 15 กรกฎาคม จะได้ลด 1,000 บาท เหลือเพียง 8,500 บาทต่อท่าน และ ฟรี!!! นังสือ Draw your thoughts มูลค่า 800 บาท สมัครเลยที่ LINE: @guyjit หรือโทร 085 149 4542 ค่ะ
เกี่ยวกับวิทยากร
ท่านอาจารย์วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ท่านเป็นอดีตผู้ที่สอบได้ที่ 1 ของประเทศ
ในอดีต ดร.วุฒิพงษ์เกิดในครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายในละแวกบางลำพู ด้วยความที่มีพี่น้องมากถึง 14 คน และเขาเป็นคนที่ 12 อีกทั้งการที่ครอบครัวมิได้เลี้ยงดูอย่างเข้มงวดนัก แต่สอนให้ลูกๆ แต่ละคนรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง พี่ๆ คอยช่วยดูแลน้อง ในฐานะน้องเล็กเขาจึงไม่รู้สึกว่าต้องพยายามเรื่องการเรียนเท่าใดนัก แค่พอให้ผ่านไปไม่สอบตกก็พอแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงมีของเล่นตามธรรมชาติ และเลี้ยงนกพิราบแข่งเป็นเพื่อน
จุดหักเหแรกในชีวิตของดร.วุฒิพงษ์ คือเมื่อหลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนคอนเซ็ปชัญคอนแวนต์ เขาพลาดหวังจากการสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เด็กชายวัย 13 ปีในวันนั้นรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาถล่มก็ไม่ปาน เมื่อเขาต้องแบกความผิดหวังนั้นกลับไปบอกครอบครัว ซึ่งพี่สาวพี่ชายเขาล้วนสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังได้ทุกคน
ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านเย็นนั้น พ่อแม่กลับไม่ได้ว่ากล่าวอะไรที่ลูกชายคนเล็กสอบเข้าไม่ได้ หากสำหรับเด็กชายการไม่มีคำตำหนิจากผู้ใหญ่ยิ่งแย่กว่าเสียอีก เขาจึงสัญญากับมารดาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำตัวให้ท่านต้องเป็นห่วงเรื่องการเรียนอีกต่อไปแล้ว แม้จะเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่จากโรงเรียนใกล้บ้านอย่าง ร.ร.วัดสังเวช ที่บางคนอาจมองเป็นแค่โรงเรียนวัดธรรมดาก็ตาม
“พอเปิดเรียนใหม่ๆ เป็นวันแม่ ผมก็ไปซื้อเค้กมาก้อนหนึ่ง 20 บาท ซึ่งถือว่าแพงมากในสมัยนั้น บอกแม่ว่าวันนี้วันแม่ แม่ก็ถามว่าไปเอาเงินมาจากไหน เพราะผมได้แค่ 3-5 บาทเท่านั้น พอผมบอกว่าเอาเงินขายนกพิราบมาซื้อ แม่ผมก็น้ำตาซึมเลย เพราะเขารู้ว่าผมรักนกพิราบขนาดไหน ก็บอกกับแม่ว่าต่อไปนี้จะไม่เกเรอีกแล้ว จะเรียนหนังสือทุกวัน” หลังจากนั้น 3 ปีในร.ร.วัดสังเวช เขาก็ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่วันเดียว
เมื่อประตูบานหนึ่งปิดใส่หน้าคุณ ก็มีประตูแห่งโอกาสบานอื่นๆ รออยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นและพร้อมจะก้าวต่อไปหรือไม่ และดร.วุฒิพงษ์ก็ไม่ปล่อยให้ความผิดหวังนั้นทำให้เขาท้อถอย แต่กลับแปรเป็นพลังที่ทำให้เขามุมานะว่าจะต้องทำให้มารดาภูมิใจให้ได้ เขาจึงมุมานะเรียนอย่างหนัก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็สามารถนำผลการเรียนที่ 1 ของชั้นกลับไปอวดแม่ได้อย่างภาคภูมิตามที่สัญญาไว้
หลังจากนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรฉุดเด็กหนุ่มหัวดี อนาคตไกลผู้นี้ได้เลย เมื่อเขาสามารถสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เป็นลำดับที่ 1 สร้างความประหลาดใจให้แก่ครูอาจารย์ และเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่นที่ส่วนใหญ่ล้วนจบมัธยมต้นมาจากโรงเรียนมีชื่อเสียงแทบทั้งนั้น
“คนจะมองว่าโรงเรียนวัดสังเวชเป็นโรงเรียนของเด็กที่สอบเข้าที่ไหนไม่ได้มารวมกัน แต่แม้จะเป็นโรงเรียนเล็กๆ แต่ก็มีการดูแลที่ดี ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ ที่ผมว่ามันมีผลต่อชีวิตเด็กมาก ครูสามารถปั้นดินให้เป็นดาวได้เลย และในขณะเดียวกันก็สามารถเอาเพชรที่เจียระไนแล้วไปโยนทิ้งใส่โคลนได้เหมือนกัน ซึ่งถึงวันนี้ผมก็ยังฝังใจว่าอาชีพครูบาอาจารย์เป็นอาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์”
หากกราฟที่ผ่านมาเริ่มเป็นแนวดิ่งชี้ขึ้น ชีวิตหลังจากนี้ของเขาก็คงพุ่งฉิวเกือบเป็นก้าวกระโดด เพราะอีก 2 ปีต่อมา เขาก็สอบได้เป็นที่ 1 ของประเทศไทย ในสายวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นก็สอบเข้าในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ และเพียง 2 เดือนต่อมา เขาก็สามารถสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ง่ายๆ นักเรียนที่ได้รับตำแหน่งนี้จึงถูกจับตามองว่า จะต้องเจริญรอยตามนักเรียนหัวกะทิรุ่นพี่ต่อไป เป็นบุคลากรระดับมันสมองของประเทศชาติในอนาคต และในตอนนั้นผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งก่อนหน้าปีของเขาก็คือ ธีรยุทธ บุญมี
จากว่าที่นายแพทย์ จึงกลายเป็นวิศวกรหนุ่มแทน และต่อมาเส้นทางการทำงานของดร.วุฒิพงษ์ ก็แตกแขนงออกไปหลายสาย ตามโอกาสและความรู้ความสามารถที่เขามีอยู่
นอกจากจะได้รับทุนเล่าเรียนหลวงในระดับปริญญาตรีแล้ว ดร.วุฒิพงษ์ยังได้รับทุนร็อคกี้เฟลเลอร์โดยคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่เขานับถืออย่าง ศ.สังเวียน อินทรวิชัย อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เขาสอบชิงทุนไปศึกษาต่อทางด้านบริหาร ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สองในเส้นกราฟชีวิตของดร.วุฒิพงษ์
ดร.วุฒิพงษ์เป็นคนไทยจำนวนไม่กี่คนที่ศึกษาจบปริญญาทั้ง 3 ระดับ ใน 3 สาขา จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้ง 3 ภูมิภาคของอเมริกาด้วยกัน คือ ปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธาจาก Massachusetts Institute of Technology หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า MIT ปริญญาโทสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม จาก Stanford University และ ปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์และการบริหารรัฐกิจ จาก University of Chicago สถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘teacher of teachers’
ถอดบทความบางส่วนมาจาก https://mgronline.com/live/detail/9490000041319
[bctt tweet=”Visual Thinking ช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าของผู้บริหารได้อย่างไร” username=”guyjit_training”]
อ่านบทความ Visual Thinking หรือการ “คิดด้วยภาพ” คืออะไร ?
ดาวโหลดใบสมัคร Visual Thinking
หลักสูตร ฝึกอบรม บริษัทจัดอบรม | วางแผนพัฒนาบุคลากร | วาง OKRs | อาจารย์เชี่ยวชาญสูง
สถาบันกายจิต ให้บริการจัดอบรม ทั้ง In-house, Public, และแบบ Online